วันก่อน ไปอบรม วิทยากรท่านนึงก็อธิบายหัวข้อที่อบรม ตามเนื้อหาบ้าง นอกเรื่องบ้างเพื่อไม่ให้บรรยากาศในห้องเคร่งเครียดและง่วงงุนจนเกินไป
วิทยากรท่านนี้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายของ บลจ.แห่งนึง ช่วงที่ท่านนอกเรื่อง หัวข้อภรรยาของท่านก็กลายเป็น topic นึงที่ถูกอ้างถึงอยู่บ่อยๆ … ภรรยาเป็น marketing ของ broker ซักที่ ชอบ shopping มาก จนอาจจัดได้ว่า อยู่ในกลุ่ม shopaholic … (เหมือนคุณเจ๊ อิอิ)
เวลาไปเดินเล่นตามห้าง ประสาคนรักการ shopping ก็คงอดไม่ได้ที่จะแวะเวียนเข้าร้านนี้ ออกร้านนั้น ซื้อไม่ซื้อ ยังไม่รู้ แต่ขอเข้าไปดูก่อน … ว่ากันว่า (คุณเจ๊บอก) ก็เข้าไปดูเพื่อที่จะได้รู้ว่าตอนนี้ trend ไหนเค้ากำลังฮิตกันบ้าง .. น่าน ว่าไปนั่น เห็นเข้าไปทีไร ก็มีของติดมือมาบ่อยๆ
เช่นกันกับภรรยาวิทยากร คงหนีอาการนี้ไม่พ้น … และถ้าเมื่อไหร่ที่มีป้าย Sale แปะอยู่หน้าร้าน ไม่ว่า % ส่วนลดจะมากน้อย เป็นอันต้องถูกอะไรซักอย่างดูดเข้าไปในร้าน
วันนึง เธอเดินผ่านร้านที่มีป้าย 50% sale แปะอยู่ .. เดินเข้าไปดู … หยิบชุดมาลองทาบๆ ดูกะตัว … หันมาเรียก ที่ร้ากกก .. แค่นั้น คุณวิทยากรก็ได้แต่ก้มหน้าจ่ายเงินไป
อีกไม่กี่วัน มาเดินห้างที่เดิม ร้านเดิมเอาป้ายใหม่มาแปะว่า 70% sale … เหมือนโดนหยาม … แน่นอน เธอเข้าไปในร้านนั้นอีกครั้ง … เลือกดูเสื้อผ้า … สุดท้าย ได้ของมาอีกชิ้นในราคาที่ถูกกว่าครั้งแรก
วิทยากร : “คราวที่แล้วก็เพิ่งซื้อ ทำไมซื้อมาอีกหละ”
ภรรยา : “ก็คราวนี้มันลดมากกว่าคราวที่แล้ว”
วิทยากร : “อ้าว .. งั้นคราวก่อนซื้อไป ก็ขาดทุนหนะสิ”
ภรรยา : “ไม่ขาดทุนหรอก คราวก่อนก็แค่ได้ลดราคาน้อยไปหน่อย นี่ไง คราวนี้เลยมา
ซื้อที่ถูกกว่าเดิม จะได้เอาไปถัวเฉลี่ยต้นทุน (ตามหลักการลงทุนแบบยั่งยืน)”
เราได้ฟังก็ .. เออ แฮะ แนวความคิดสมกับเป็น marketing ตัวจริงเสียงจริง คือ ให้ซื้อแบบสม่ำเสมอ ถ้าคราวก่อนซื้อหุ้นมาแพง ให้รอจังหวะ พอราคาตกเมื่อไหร่ ซื้อเข้ามาอีกเพื่อเฉลี่ยต้นทุน … เวงกำ เอาหลักการลงทุนมาใช้จริงเลยนะเนี่ย
คุณวิทยากรเล่าต่อว่า วันรุ่งขึ้น คุณภรรยาก็เอาชุดที่ซื้อ ลองมาทาบๆ ดูแล้วถามว่า เป็นไง สวยมั้ย ทำท่าเหมือนจะหยิบมาใส่ แต่พอลองจนพอใจแล้ว ก็เอาเก็บกลับเข้าตู้ไป … เดินวนรอบตู้อีกหลายรอบ
ภรรยา : “ทำไงดีอ่ะ ตัวเอง .. เค้าไม่มีเสื้อผ้าจะใส่แล้วหละ” (แล้วไอ่ที่อยู่ในตู้ เค้าเรียก
ว่า ??? เหมือนคุณเจ๊เด๊ะๆ ฮี่ๆๆ)
วิทยากร : [เลิกคิ้ว] “มีชุดใหม่ที่เพิ่งซื้อมาตั้ง 2 ชุดนี่ ไม่เอามาใส่เลยเหรอ”
ภรรยา : “ต๊ายยย .. พูดแบบนี้ได้ไง ถ้าชั้นเอาชุดที่เพิ่งซื้อ มาใส่ช่วงนี้ เดินไปแถวนั้น
คนเค้าก็รู้หมดสิ ว่าชั้นซื้อของ Sale .. รอก่อนๆ ให้เค้าเอาป้าย Sale ออก
ไปก่อนนะ”
มีเหตุผลแฮะ … ฟังคุณวิทยากรเล่าแบบนี้ อดคิดถึงคุณเจ๊ไม่ได้ พฤติกรรมใกล้เคียงกันมากกกกก
เอามาเล่าให้คุณเจ๊ฟัง .. เจ๊ขำๆ แต่บอกว่า ชั้นซื้อของ ก็คิดเฉลี่ยต้นทุนแบบนี้เหมือนกันแหละ … อ้าวเหรอ นี่เฉลี่ยแล้วเหรอคะ … หงะ
อีกเรื่องคือ สินทรัพย์ (บังเอิญวันนั้นอบรมเรื่องบัญชี) เค้าว่า หนุ่มๆ มักจะชอบสะสมพวกนาฬิกา เครื่องเสียง แล้วก็รถยนต์ ซึ่งบางอย่างก็ถือว่าเป็นสินทรัพย์ลงทุน ขณะที่ท่านสุภาพสตรีทั้งหลาย เท่าที่คุณวิทยากรได้ทำ research มาแล้ว (จากคุณภรรยา) พบว่า …
อันดับ 1 : เสื้อผ้า
อันดับ 2 : กระเป๋า
อันดับ 3 : รองเท้า
โอ้ว แม่เจ้า … นี่เค้าเอากรณีศึกษาของคุณเจ๊มาเล่ารึป่าวเนี่ย 5555 ได้แต่นึกในใจ … ประมาณว่า ถ้าเปิดตู้ เอาของเหล่านี้ของคุณเจ๊มาแปลงเป็นสตางค์แล้วเนี่ย ดาวน์บ้าน ดาวน์รถได้เลยทีเดียว ฮี่ๆๆ (อ่ะ ล้อเล่นนะ) … เอาหนะ อย่างน้อยก็เป็นสินทรัพย์ลงทุน (ในแบบของคุณเจ๊) .. เอ หรือจะเรียกว่า ลงทุนในสินทรัพย์ดีน้อ ^__^
4 comments:
บร้าที่สุดดด !!!!
มันเป็นกรณีศึกษาของผู้หญิงทั่วไปย่ะ
พฤติกรรมแบบนี้เป็นของผู้หญิงทั่วไปย่ะ
ชิส์ ชิส์
(_ _)
ชอบอ่านที่เขียนทุกเรื่องเลยค่ะ
ของแถม ชอบอ่านที่เขียนและมีเม้นแบบข้างบนมาให้ยิ้มพ่วงท้าย
อิอิ
สาวๆ แพ้ป้าย SALE ค่ะ
ส่วนเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับสาวๆ เช่นกันค่ะ
ขนาดสาวไม่มากอย่างนก ยังชอบซื้อ กางเกงยีนส์ นาฬิกา รองเท้า เลยค่ะ
ผู้หญิงอย่างเราๆ เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ค่ะคุณผึ้ง
Post a Comment