22.5.09

Shopping ในมุม Broker

วันก่อน ไปอบรม วิทยากรท่านนึงก็อธิบายหัวข้อที่อบรม ตามเนื้อหาบ้าง นอกเรื่องบ้างเพื่อไม่ให้บรรยากาศในห้องเคร่งเครียดและง่วงงุนจนเกินไป

วิทยากรท่านนี้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายของ บลจ.แห่งนึง ช่วงที่ท่านนอกเรื่อง หัวข้อภรรยาของท่านก็กลายเป็น topic นึงที่ถูกอ้างถึงอยู่บ่อยๆ … ภรรยาเป็น marketing ของ broker ซักที่ ชอบ shopping มาก จนอาจจัดได้ว่า อยู่ในกลุ่ม shopaholic … (เหมือนคุณเจ๊ อิอิ)

เวลาไปเดินเล่นตามห้าง ประสาคนรักการ shopping ก็คงอดไม่ได้ที่จะแวะเวียนเข้าร้านนี้ ออกร้านนั้น ซื้อไม่ซื้อ ยังไม่รู้ แต่ขอเข้าไปดูก่อน … ว่ากันว่า (คุณเจ๊บอก) ก็เข้าไปดูเพื่อที่จะได้รู้ว่าตอนนี้ trend ไหนเค้ากำลังฮิตกันบ้าง .. น่าน ว่าไปนั่น เห็นเข้าไปทีไร ก็มีของติดมือมาบ่อยๆ

เช่นกันกับภรรยาวิทยากร คงหนีอาการนี้ไม่พ้น … และถ้าเมื่อไหร่ที่มีป้าย Sale แปะอยู่หน้าร้าน ไม่ว่า % ส่วนลดจะมากน้อย เป็นอันต้องถูกอะไรซักอย่างดูดเข้าไปในร้าน

วันนึง เธอเดินผ่านร้านที่มีป้าย 50% sale แปะอยู่ .. เดินเข้าไปดู … หยิบชุดมาลองทาบๆ ดูกะตัว … หันมาเรียก ที่ร้ากกก .. แค่นั้น คุณวิทยากรก็ได้แต่ก้มหน้าจ่ายเงินไป

อีกไม่กี่วัน มาเดินห้างที่เดิม ร้านเดิมเอาป้ายใหม่มาแปะว่า 70% sale … เหมือนโดนหยาม … แน่นอน เธอเข้าไปในร้านนั้นอีกครั้ง … เลือกดูเสื้อผ้า … สุดท้าย ได้ของมาอีกชิ้นในราคาที่ถูกกว่าครั้งแรก

วิทยากร : “คราวที่แล้วก็เพิ่งซื้อ ทำไมซื้อมาอีกหละ”
ภรรยา : “ก็คราวนี้มันลดมากกว่าคราวที่แล้ว”
วิทยากร : “อ้าว .. งั้นคราวก่อนซื้อไป ก็ขาดทุนหนะสิ”
ภรรยา : “ไม่ขาดทุนหรอก คราวก่อนก็แค่ได้ลดราคาน้อยไปหน่อย นี่ไง คราวนี้เลยมา
ซื้อที่ถูกกว่าเดิม จะได้เอาไปถัวเฉลี่ยต้นทุน (ตามหลักการลงทุนแบบยั่งยืน)”

เราได้ฟังก็ .. เออ แฮะ แนวความคิดสมกับเป็น marketing ตัวจริงเสียงจริง คือ ให้ซื้อแบบสม่ำเสมอ ถ้าคราวก่อนซื้อหุ้นมาแพง ให้รอจังหวะ พอราคาตกเมื่อไหร่ ซื้อเข้ามาอีกเพื่อเฉลี่ยต้นทุน … เวงกำ เอาหลักการลงทุนมาใช้จริงเลยนะเนี่ย

คุณวิทยากรเล่าต่อว่า วันรุ่งขึ้น คุณภรรยาก็เอาชุดที่ซื้อ ลองมาทาบๆ ดูแล้วถามว่า เป็นไง สวยมั้ย ทำท่าเหมือนจะหยิบมาใส่ แต่พอลองจนพอใจแล้ว ก็เอาเก็บกลับเข้าตู้ไป … เดินวนรอบตู้อีกหลายรอบ

ภรรยา : “ทำไงดีอ่ะ ตัวเอง .. เค้าไม่มีเสื้อผ้าจะใส่แล้วหละ” (แล้วไอ่ที่อยู่ในตู้ เค้าเรียก
ว่า ??? เหมือนคุณเจ๊เด๊ะๆ ฮี่ๆๆ)
วิทยากร : [เลิกคิ้ว] “มีชุดใหม่ที่เพิ่งซื้อมาตั้ง 2 ชุดนี่ ไม่เอามาใส่เลยเหรอ”
ภรรยา : “ต๊ายยย .. พูดแบบนี้ได้ไง ถ้าชั้นเอาชุดที่เพิ่งซื้อ มาใส่ช่วงนี้ เดินไปแถวนั้น
คนเค้าก็รู้หมดสิ ว่าชั้นซื้อของ Sale .. รอก่อนๆ ให้เค้าเอาป้าย Sale ออก
ไปก่อนนะ”

มีเหตุผลแฮะ … ฟังคุณวิทยากรเล่าแบบนี้ อดคิดถึงคุณเจ๊ไม่ได้ พฤติกรรมใกล้เคียงกันมากกกกก

เอามาเล่าให้คุณเจ๊ฟัง .. เจ๊ขำๆ แต่บอกว่า ชั้นซื้อของ ก็คิดเฉลี่ยต้นทุนแบบนี้เหมือนกันแหละ … อ้าวเหรอ นี่เฉลี่ยแล้วเหรอคะ … หงะ

อีกเรื่องคือ สินทรัพย์ (บังเอิญวันนั้นอบรมเรื่องบัญชี) เค้าว่า หนุ่มๆ มักจะชอบสะสมพวกนาฬิกา เครื่องเสียง แล้วก็รถยนต์ ซึ่งบางอย่างก็ถือว่าเป็นสินทรัพย์ลงทุน ขณะที่ท่านสุภาพสตรีทั้งหลาย เท่าที่คุณวิทยากรได้ทำ research มาแล้ว (จากคุณภรรยา) พบว่า …

อันดับ 1 : เสื้อผ้า
อันดับ 2 : กระเป๋า
อันดับ 3 : รองเท้า

โอ้ว แม่เจ้า … นี่เค้าเอากรณีศึกษาของคุณเจ๊มาเล่ารึป่าวเนี่ย 5555 ได้แต่นึกในใจ … ประมาณว่า ถ้าเปิดตู้ เอาของเหล่านี้ของคุณเจ๊มาแปลงเป็นสตางค์แล้วเนี่ย ดาวน์บ้าน ดาวน์รถได้เลยทีเดียว ฮี่ๆๆ (อ่ะ ล้อเล่นนะ) … เอาหนะ อย่างน้อยก็เป็นสินทรัพย์ลงทุน (ในแบบของคุณเจ๊) .. เอ หรือจะเรียกว่า ลงทุนในสินทรัพย์ดีน้อ ^__^

Technorati Tags: ,

18.5.09

ปูนิ่ม


ปูนิ่ม … เราแคลงใจกับความหมายของปูนิ่มมานาน ว่า จริงๆ แล้ว มันคืออะไร ระหว่าง พันธุ์ปูชนิดหนึ่ง หรือ ปูที่อยู่ในช่วงไม่มีกระดอง ??


คงเป็นเพราะไม่ชอบอ่านหนังสือ เลยไม่ได้มีโอกาสได้รู้จริงๆ ซักทีว่า มันคืออะไร


และก็จำไม่ได้แล้วว่า ไปเอาความคิดมาจากไหน ฝังหัวว่า ปูนิ่ม คือ ปูพันธุ์หนึ่งที่ไม่ได้มีเปลือกแข็งเหมือนปูปกติทั่วไป ..


เข้าใจแบบนั้นมาตลอด เป็นอาหารจานโปรดจานหนึ่ง จนกระทั่งเมื่อปีสองปีก่อน …


ไปกินข้าวกับคุณเจ๊ และคงเพราะความขี้สงสัยของเรา เลยคุยกันเรื่องปูนิ่ม .. เราเล่าความคิดของตัวเองให้คุณเจ๊ฟัง


คุณเจ๊เค้าเฉลยให้ฟัง ว่า ปูนิ่มเป็นปูที่ลอกคราบแล้ว อยู่ในช่วงที่ยังไม่มีกระดองแข็ง … เราเข้าใจผิดมาตลอดงั้นหรือ??


ยังคงไม่เชื่อ แต่ก็ระงับการกินปูนิ่มไว้ก่อน เพราะยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ .. แค่คิดว่า สงสารปู ถ้าเป็นแบบนั้นจริง


สองปีผ่านไป ได้มีโอกาสคุยกันเรื่องปูนิ่มอีกครั้ง … ทุกคนยืนยันแบบที่คุณเจ๊บอก (-_-!)


เจอแบบนี้ ก็คงต้อง google ซะแล้ว … ผลก็คือ


โดยธรรมชาติ ปูทะเลเติบโตโดยอาศัยการลอกคราบ ด้วยความที่กระดองปูมีความแข็งแรงมาก พอปูโตเต็มที่ เนื้อแน่นเต็มกระดองปู ก็ขยายตัวออกไปไม่ได้ เค้าก็เลยต้องลอกคราบเพื่อขยายขนาด พอลอกคราบเสร็จ กระดองใหม่จะนิ่มอยู่ช่วงนึง ผิวเปลือกย่นๆ


จริงๆ กระดองใหม่จะแข็งขึ้นภายในเวลา 4 ชั่วโมง แต่ช่วงเวลานี้แหละ ที่เหมาะสำหรับผู้เลี้ยงปูนิ่มจะเข้ามาเก็บเกี่ยวผลิตผล ถ้าผู้เลี้ยงเดินมาเห็นตะกร้าที่มีปูสองตัว (ปกติเลี้ยง ปู 1 ตัวต่อ 1 ตะกร้า) เค้าก็จะหยิบน้องปูตัวนิ่มไปแช่น้ำจืดซัก 2 ชั่วโมงให้คลายความเค็ม เพื่อชะลอการแข็งตัวของกระดอง ก่อนจะส่งขายต่อไป


Poo Nim2


เพราะงั้น … ปูนิ่ม = ปูที่เพิ่งลอกคราบ กระดองใหม่ยังนิ่มอยู่ แต่ถูกจับมาเพื่อให้เราๆ ท่านๆ กินซะก่อน … สลด (_ _)


ถ้ามองในแง่อาหาร … ก็อร่อยดี แต่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า เราจับเค้ามากินในสภาวะที่น้องปูไม่พร้อมที่จะต่อสู้ใดๆ .. ต่างกับการจับปูปกติมาขายนะ เพราะนั่นร่างกายน้องปูเค้าอยู่ในสภาวะปกติ


เอาง่ายๆ ก็คงไม่ต่างจาก การจับนักรบช่วงที่เค้าถอดเกราะ ปลดกระบี่แล้ว .. มันไม่ fair อ่ะ


ทางรายการกบนอกกะลา เรียกว่า โศกนาฏกรรมปู … (_ _)


ด้วยความเป็นปุถุชน คงยังเลิกกินปูไม่ได้ เพราะเป็นจานโปรด … แต่ของดเว้นไว้ให้ สำหรับปูนิ่ม … เลิกเด็ดๆ


1.5.09

Gen X or Gen Y

วันก่อนแวะไปร้านกาแฟ ไล-บรา-รี่ แถวพรีเมียร์ หยิบ Fortune ฉบับเดือนไหนก็ไม่รู้ของปี 2008…เห็น Issue นึงน่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องของคนยุคใหม่ ในนั้นเรียกว่า Gen Y (Gen Yers)

ด้วยความไม่รู้ และความใคร่รู้ เลยกลับมาหาข้อมูลต่อเกี่ยวกับ Generation ต่างๆ ว่าเค้าจัดแบ่งกันยังไง เลยได้ความแบบสรุปๆ ว่า …

  • Baby boomers เกิดหลังสงครามโลกครั้ง 2 ช่วงปี 1942 – 1965 ถ้าเทียบกับตัวเอง กลุ่มนี้ก็เป็นวัยเดียวกับคนรุ่นพ่อแม่วัย 40-50 ในตอนนี้
  • Gen X เกิดช่วงปี 1965-1976 กลุ่มนี้เป็นลูกของ Baby boom ช่วงต้นๆ ซึ่งโตมากับ Pop Culture อาทิ MTV, หรือวงดนตรี Boy band ต่างๆ .. แล้วก็เป็นยุคเปลี่ยนของเทคโนโลยี Analog กับ digital
  • Gen Y เป็นคนกลุ่มที่เกิดช่วง 1977-1998 เอาง่ายๆ กลุ่มนี้ก็เป็นรุ่นลูกของเจ้า Baby boom อีกนั่นหละ แต่เป็น Baby boom ช่วงปลายๆ ซึ่งก็คือเด็กวัยรุ่น จนถึงวัยเริ่มต้นทำงานในปัจจุบัน
  • Gen Z ก็เป็นเด็กยุคใหม่เกิดซักปี 2000 เรื่อยมา

ส่วนจำนวนประชากรที่เกิดในแต่ละปี ค.ศ. ก็ตาม Chart ด้านล่าง

Birthrate Chart

ตาม Magazine เค้าก็อธิบายถึง บุคลิก ลักษณะทั่วๆไปของ Gen Y แต่ที่สะดุดใจคือ สิ่งของที่ต้องมีติดตัว หรือจะเรียกว่าเป็น symbolic ของคนรุ่นนี้ คือ อุปกรณ์ digital ทั้งหลาย อย่างพวก กล้องดิจิตอล iPod, headphone, Laptop, Blackberry

Gen Y's devices

อ่านแล้วก็ลองมานั่งนึกตาม .. เออ .. ก็จริงหวะ เด็กสมัยนี้ มีแต่หิ้วของพวกนี้ไปไหนมาไหนตลอดเวลา อาจจะด้วยความที่ราคาของ digital พวกนี้ราคาถูกลงมากกว่าแต่ก่อน เรียกได้ว่า ใครๆ ก็มีได้ … แต่ก็อีก พอรวมมูลค่าของที่ติดตัวพวกนี้แล้ว ต่อคนมีเป็นเลขห้าหลักขึ้นทั้งนั้น

สรุปบุคลิกของ Gen Y เป็นข้อๆ ดีกว่าเนอะ อ่านง่ายหน่อย

  • เติบโตมาพร้อม internet, digital content, virtual network
  • เป้าหมายในชีวิต คือ เลือกเรียนและทำงานในสถานที่ที่มีชื่อเสียง เพื่อให้มีชีวิตที่ดี
  • นิยมการออกกำลังกาย เข้าฟิตเนส
  • มีความคิดที่ว่า ใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุขและดีที่สุดซะแต่วันนี้ เพราะเหตุร้ายแรงเกิดได้เสมอ
  • ไม่ค่อยถูกพ่อแม่ตีหรือดุด่า เพราะเจ้า Baby boom ก็จะเลี้ยงลูกในแบบที่ตัวเองอยากจะได้รับในตอนเด็กๆ นั่นเอง
  • มีความภูมิใจในตัวเองสูง เชื่อมั่นและกล้าพูดกล้าทำ โดยไม่รู้สึกผิด
  • ชอบการทำงานเป็นทีม เพื่อที่จะได้คอยช่วยเหลือกันและให้กำลังใจกัน
  • ให้ความสมดุลระหว่างการทำงานกับการใช้ชีวิต ดังนั้นจึงไม่นิยมการทำงานหนัก หรือถ้าจะให้ทำงานหนัก (เช่น 60 ชม.ต่อสัปดาห์) ก็ต้องได้ค่าตอบแทนมากพอ
  • ติดพ่อแม่ .. และไม่รู้สึกแย่ ถ้าจะขอเงินพ่อแม่ใช้หรือกลับมาอยู่บ้านซักปีสองปี หลังจากเรียนจบ

ว่าแล้วก็ ยังไม่รู้จะจัดตัวเองเป็นเด็ก Gen X หรือ Gen Y ดี … สรุปเอาเองว่า เป็นเด็ก Gen X ที่พยายามก้าวให้ทันโลกปัจจุบันละกันเนอะ

Technorati Tags: ,